language
ภาษาไทย

“ดารุมะ มาซามุเนะ” โลกของจุคุเซโคชุ – “รสอูมามิ” แห่งกาลเวลาที่โรงผลิตสาเกแบบดั้งเดิมรังสรรค์ขึ้นมา โลกของจุคุเซโคชุ “ดารุมะ มาซามุเนะ” – “รสอูมามิ” แห่งกาลเวลาที่โรงผลิตสาเกแบบดั้งเดิมรังสรรค์ขึ้นมา

“ดารุมะ มาซามุเนะ” โลกของจุคุเซโคชุ – “รสอูมามิ” แห่งกาลเวลาที่โรงผลิตสาเกแบบดั้งเดิมรังสรรค์ขึ้นมา โลกของจุคุเซโคชุ “ดารุมะ มาซามุเนะ” – “รสอูมามิ” แห่งกาลเวลาที่โรงผลิตสาเกแบบดั้งเดิมรังสรรค์ขึ้นมาの画像

เมื่อนั่งรถบัสจากสถานีกิฟุราว 50 นาที บนถนนในชนบทที่เงียบสงบ จะพบกับ Shiraki Tsunesuke Shoten โรงผลิตสาเกที่ดำเนินกิจการบนผืนดินเดิมมาตั้งแต่ปี 1835 ไปชมการทำงานอันทุ่มเทของผู้สร้างสรรค์สาเกประเภทใหม่ที่เรียกว่า “จุคุเซโคชุ (สาเกบ่มนาน)” ตั้งแต่เริ่มต้นกัน

2025.05.29

เปิดกิจการในปี 1835 - การแพร่หลายของโทรทัศน์นำมาซึ่งวิกฤตและโอกาส

ชิรากิสึเนซุเกะโชเท็น (Shiraki Tsunesuke Shoten) เป็นโรงผลิตสาเกที่เปิดกิจการในปี 1835 พื้นที่ซึ่งโรงผลิตสาเกตั้งอยู่นั้นเป็นพื้นที่ชนบทที่ได้รับความชุ่มชื้นจากแม่น้ำมุกิกาวะ (Mugi River) ซึ่งเป็นสาขาของแม่น้ำนาการะ (Nagara River) ผืนดินนี้จึงอุดมสมบูรณ์ไปด้วยน้ำและข้าว อีกทั้งสภาพอากาศที่มีอุณหภูมิต่างกันมากยังเหมาะแก่การผลิตสาเกด้วย ในช่วง 190 ปีนับตั้งแต่เปิดกิจการ Shiraki Tsunesuke Shoten ได้ดำเนินกิจการผลิตสาเกผืนดินเดิมมาตลอด

และแล้วในช่วงปลายทศวรรษปี 1950 จุดเปลี่ยนมาถึง เมื่อมีการกำหนดให้โตเกียวเป็นสถานที่จัดกีฬาโอลิมปิก และโทรทัศน์เริ่มได้รับความนิยมแพร่หลาย ยอดจำหน่ายของสาเกญี่ปุ่นซึ่งเคยเป็นที่ชื่นชอบของผู้คนในท้องถิ่นก็เริ่มชะลอตัวลงเรื่อยๆ

ทุกอย่างเริ่มต้นจากโฆษณาของโรงผลิตสาเกรายใหญ่ที่ออกอากาศทางโทรทัศน์ เมื่อมีตัวเลือกเพิ่มขึ้น และการกระจายสินค้าดีขึ้น สาเกญี่ปุ่นซึ่งเคยดื่มกันเป็นปกติ ก็เริ่มขายไม่ได้

บุคคลแรกที่ตระหนักถึงอันตรายจากสถานการณ์นี้คือคุณชิรากิ โยชิจิ คุณพ่อของคุณชิรากิ ชิเกริ ซีอีโอสาวซึ่งเป็นเจ้าของคนปัจจุบัน

วันหนึ่ง คุณชิรากิ โยชิจิพบขวดสาเกอิชโชบิน (สาเกในขวดขนาด 1.8 ลิตร) หลายขวดที่ถูกลืมไว้ที่มุมหนึ่งของโกดัง เมื่อลองเปิดขวดอย่างระมัดระวังแล้วเทลงในแก้ว ก็รู้สึกประหลาดใจกับสีสันที่สวยงามและความลึกลับของสาเก

ว่ากันว่า สาเกสีเหลืองทองนี้เป็นสาเกชั้นเลิศที่มีสัมผัสนุ่มละมุนและรสอูมามิเข้ม คุณชิรากิ โยชิจิเชื่อมั่นว่า นี่คือสาเกศักยภาพเยี่ยมเพียงหนึ่งเดียว จึงเริ่มค้นคว้าเรื่องจุคุเซโคชู (สาเกที่บ่มนาน)

ทว่าในเวลานั้น ผู้คนรอบข้างต่างมองด้วยสายตาที่เย็นชา และพูดจาเย้อหยันว่า “ก็แค่เก็บสาเกที่ทำไว้ แทนที่จะขายไม่ใช่หรือ” หรือ “ก็แค่สาเกที่มีสี...” สำหรับคุณชิรากิ ชิเกริซึ่งตอนนั้นยังเด็กแล้ว นี่คือความทรงจำอันขมขื่นที่ยังหลงเหลืออยู่บ้าง

แต่กระนั้น คุณชิรากิ ชิเกริซึ่งพาเดินชมโรงงานในครั้งนี้ก็ได้กล่าวด้วยรอยยิ้มแต่ด้วยน้ำเสียงหนักแน่นว่า

“บางคนอาจพูดว่า ‘นี่เป็นแค่สาเกที่เกิดขึ้นโดยบังเอิญ’ แต่โคชุของเราเป็นสิ่งที่คุณพ่อของฉันได้ทำมาตั้งแต่ปี 1971 ด้วยความเชื่อมั่นที่ว่า ‘ต้องมีชัยชนะด้วยจุคุเซโคชุอย่างแน่นอน’ ”

การผลิตจุคุเซโคชุเริ่มต้นขึ้นจากการค้นพบอันน่าอัศจรรย์ และพัฒนามาเป็นจุคุเซโคชุเช่นทุกวันนี้ได้อย่างไร? มาไขความลับและก้าวย่างการพัฒนานี้กัน

ความจริงที่ไม่รู้เกี่ยวกับโคชุ – ความลับของ “รสอูมามิ” ที่คุณชิรากิ โยชิจิค้นพบ

สิ่งแรกที่คุณชิรากิ โยชิจิศึกษาเพื่อตามรอยนี้ก็คือเอกสารเก่าๆ ซึ่งบันทึกไว้ว่า วัฒนธรรม “โคชุ” มีอยู่ในญี่ปุ่นมาตั้งแต่สมัยคามาคุระมาจนถึงสมัยเอโดะ (ราว ค.ศ. 1185 - 1868)

อย่างในจดหมายที่พระนิชิเร็นโชนิน พระสงฆ์ที่มีชื่อเสียงและเป็นผู้นำศาสนาที่มีอิทธิพลในสมัยคามาคุระเขียนไว้ว่า “โคชุ (สีแดง) ดุจดังโลหิตของมนุษย์” นั้น ทำให้จินตนาการได้ว่า โคชุนั้นต้องมีสีแดงราวสีเลือดมนุษย์และมีลักษณะเข้มข้นมากทีเดียว

อย่างไรก็ตาม แม้จะได้รับการยืนยันว่ามีโคชุอยู่จริง แต่ไม่มีเอกสารใดที่อธิบายถึงวิธีการทำสาเกนี้ คุณชิรากิ โยชิจิจึงเริ่มต้นท้าทายในการทำโคชุแบบลองผิดลองถูกโดยอาศัยเพียงเอกสารไม่กี่ฉบับและจินตนาการตัวเอง

“หากเป็นสาเกที่คั้นจากเลือด ก็อาจเป็นสาเกสีแดง”

“เทคโนโลยีการขัดสีข้าวในสมัยนั้นยังไม่พัฒนา ดังนั้นอาจใช้ข้าวที่ยังมีส่วนนอกอยู่ก็ได้”

“ในสมัยที่ไม่มีตู้เย็น ก็น่าจะเก็บไว้ที่อุณหภูมิห้อง...”

จากการตั้งสมมติฐานและการค้นคว้าซ้ำแล้วซ้ำเล่า ในที่สุดก็ค้นพบว่า สาเกสีแดงเป็นผลมาจากปฏิกิริยาเมลลาร์ด (Maillard reaction) ซึ่งจะเกิดขึ้นเมื่อกรดอะมิโนกับน้ำตาลผสมกัน โดยปฏิกิริยาเมลลาร์ดนี้จะเกิดขึ้นในระหว่างการหมักเป็นเวลานาน ซึ่งนี่ก็คือแก่นแท้ของการ “บ่ม” สาเกนั่นเอง

ตั้งแต่ปี 1971 เป็นต้นมา คุณชิรากิ โยชิจิได้หมักสาเกหลากประเภทในปริมาณน้อย เช่น จุนไมชุ (สาเกจุนไม สาเกข้าวบริสุทธิ์) รสหวาน และกินโจชุ (สาเกกินโจ) รสเผ็ด รวมถึงดูแลขั้นตอนการบ่มเป็นเวลายาวนาน

คุณชิรากิ ชิเกริเล่าว่า แม้ปัจจุบันโรงผลิตสาเกแห่งนี้จะโด่งดังเป็นที่รู้จักกันในเรื่องจุคุเซโคชุ แต่ในสมัยนั้นยังเป็นแค่การลองทำอะไรใหม่ๆ ที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน สำนักงานสรรพากรก็เร่งรัดว่า “อย่าปล่อยสุราทิ้งไว้เฉยๆ รีบๆ ขายสุราและจ่ายภาษีสุรามา” ส่วนคนรอบข้างก็มักมองด้วยสายตาเย็นชาและพูดว่า “เสียสติไปแล้ว ที่เก็บสุราไว้โดยไม่ขาย”

ทว่าคนกลุ่มแรกที่ยื่นมือเข้าช่วยเหลือคุณชิรากิ โยชิจิในการท้าทายนี้ก็คือประธานธนาคารในท้องถิ่นและพนักงานจัดซื้อของห้างสรรพสินค้า เมื่อผู้คนตระหนักถึงคุณค่าของสิ่งนี้ ความคิดเรื่อง “โคชุ” ก็แพร่หลายขึ้นเรื่อยๆ และในที่สุด ดารุมะ มาซามุเนะ (Daruma Masamune) ก็กลายเป็นโคชุอันโด่งดังเป็นที่รู้จัก

มีผลิตภัณฑ์ให้เลือกหลากหลาย รวมถึงมิไรเอะ (Mirai-e หมายถึง มุ่งสู่อนาคต) สาเกที่เป็นเสมือน “ของขวัญแห่งกาลเวลา” ซึ่งหมักขึ้นในปีที่สาเกนี้ถือกำเนิด และสามารถดื่มได้ในอีก 20 ปีต่อมา โคชุแบบวินเทจที่มีรสชาติแตกต่างกันทุกปี ไปจนถึงอุเมะชุ (เหล้าบ๊วยญี่ปุ่น) ที่หมักจากโคชุ

สาเกที่หมักขึ้นเมื่อตอนเริ่มต้นค้นคว้าเรื่องการบ่มครั้งแรก ยังได้รับการเก็บรักษาไว้เงียบๆ ในห้องใต้ดินจนถึงทุกวันนี้ นี่เป็นการตกผลึกของภูมิปัญญาและความเชื่อที่สั่งสมกันมาหลายยุคหลายสมัยอย่างแท้จริง “รสอุมามิแห่งกาลเวลา” ที่บรรจุอยู่ในโคชุแต่ละหยดจะได้บอกเล่าเรื่องราวที่สั่งสมมาเงียบๆ

สาเกที่หมักในอุณหภูมิตามธรรมชาติ ความล้ำลึกของโคชุที่สร้างสรรค์ขึ้นโดยฝีมือของช่างผู้เชี่ยวชาญ

จากการค้นคว้าวิจัยของคุณชิรากิ โยชิจิ รูปแบบของสาเกญี่ปุ่นชนิดใหม่ที่เรียกว่า “จุคุเซโคชุ” จึงได้ถือกำเนิดขึ้น ปัจจุบัน Shiraki Tsunesuke Shoten จัดทัวร์ชมโรงผลิตสาเกเพื่อให้ผู้คนได้สัมผัสเสน่ห์ของจุคุเซโคชุและขั้นตอนการผลิตสาเกญี่ปุ่นอย่างใกล้ชิด

โรงงานที่อบอวลไปด้วยกลิ่นหอมของสาเกแห่งนี้ เปิดโอกาสให้ผู้คนไปตามรอยการค้นคว้าวิจัยต่างๆ และประเพณีการผลิตสาเกญี่ปุ่นที่สืบทอดกันมาตั้งแต่ปี 1835

กุญแจสำคัญในการผลิตสาเกคือการควบคุมอุณหภูมิในโรงเก็บ หลังจากที่หมักสาเกไว้ในแท็งก์แล้ว หน้าที่ของโทจิ (ผู้รับผิดชอบการผลิตสาเก) คือการตรวสอบความคืบหน้าของการหมักและปรับอุณหภูมิ สิ่งสำคัญที่ขาดเสียไม่ได้ในหน้าที่นี้ก็คือท่อจำนวนมากนับไม่ถ้วนที่ล้อมรอบแท็งก์เหล่านี้

นี่คืออุปกรณ์ที่ทำให้สามารถหมักสาเกญี่ปุ่นได้ในอุณหภูมิตามธรรมชาติโดยไม่ต้องพึ่งพาเครื่องปรับอากาศหรือเครื่องทำความร้อน ในฤดูร้อนจะปรับระดับการหมักโดยการใส่น้ำเย็น ส่วนในฤดูหนาวจะใส่น้ำร้อน แม้ในฤดูหนาวที่หนาวจัด แต่หากตรวจพบว่าการหมักดำเนินเร็วเกินไป ก็จะใส่น้ำเย็นลงไป

การทำโคจิก็เป็นส่วนสำคัญของกระบวนการหมักเช่นกัน ภายใต้การกำกับดูแลของคุณชิรากิ ชิเกริ ช่างผู้เชี่ยวชาญจะหมักโคจิด้วยมือนาน 2 วัน โรยหัวเชื้อโคจิลงบนข้าวนึ่ง จากนั้นกวนผสมให้เชื้อกระจายทั่ว และปล่อยให้เชื้อราโคจิค่อยๆ เจริญเติบโตขึ้นอย่างช้าๆ

โคจินี้จะผลิตขึ้นในห้องเล็กๆ ที่เรียกว่าห้องโคจิ ภายในพื้นที่ที่มีอุณหภูมิราว 30 องศาเสมอ โคจิจะค่อยๆ มีชีวิตและเติบโตแข็งแรงอย่างช้า โดยไม่ได้รับผลกระทบจากอากาศภายนอก

ในระหว่างทัวร์ จะได้ชมแท็งก์หมักสาเกอันตระการตาตั้งเรียงรายอยู่ข้างในสุดของโรงงาน ทุกปีจะมีการใช้แท็งก์หมัก 2 - 3 ถังในการบ่ม นอกจากนี้ยังมีสาเกอีกหลากชนิดที่ได้รับการผลิตอย่างพิถีพิถัน เช่น อุเมะชุ และมิไรเอะที่สามารถชมการบ่มที่บ้าน

คุณชิรากิ ชิเกริกล่าวเรียบๆ ว่า “การบ่มก็คือการปล่อยทิ้งไว้เฉยๆ”

เมื่อผ่านกระบวนการฆ่าเชื้อด้วยความร้อน และนำไปใส่ลงในแท็งก์แล้ว การทำงานของยีสต์และเอนไซม์จะสิ้นสุดลง จากนั้น สิ่งสำคัญก็เพียงแค่ต้อง “รอ” โดยหลีกเลี่ยงการสัมผัสกับอากาศ หากเปิดฝาแท็งก์ออกและสังเกตใกล้ชิดมากเกินไป อาจทำให้เชื้อโรคหรือแบคทีเรียกรดแลคติก (แบคทีเรียแลคโตบาซิลลัส) เข้าไปได้

จากประสบการณ์อันยาวนาน จึงค้นพบอัตราส่วนที่เหมาะสมของกรดอะมิโนกับน้ำตาล ระดับการสัมผัสกับอากาศ และระดับการบ่ม ทุกอย่างได้รับการคำนวณอย่างละเอียดถี่ถ้วน ส่วนที่เหลือก็ขึ้นอยู่กับกาลเวลา

ตอนท้ายของทัวร์ มีกิจกรรมชิมสาเกปรียบเทียบซึ่งจะได้ลิ้มลองรสชาติอันล้ำลึกของ “ดารุมะ มาซามุเนะ” จุคุเซโคชุที่ผ่านบ่มยาวนานนี้

ชิมสาเกรสหรู 3 ชนิดเปรียบเทียบรสชาติ โดยยึดองค์ความรู้เรื่องโคชุเป็นเกณฑ์

กิจกรรมชิมสาเกเปรียบเทียบที่รอคอยมานาน เป็นกิจกรรมปิดท้ายทัวร์ชมโรงผลิตสาเกแห่งนี้ อาจมีรายละเอียดต่างกันในแต่ละคอร์สทัวร์ แต่โดยทั่วไป ผู้เข้าร่วมจะได้ชิมสาเกดารุมะ มาซามุเนะที่บ่มในระยะเวลาต่างกันเพื่อเปรียบเทียบรสชาติ

จุคุเซโคชุที่ลิ้มลองที่นี่ ไม่ได้ถูกจำกัดความด้วยอายุอย่าง “3 ปี” หรือ “5 ปี” เท่านั้น ดารุมะ มาซามุเนะของ Shiraki Tsunesuke Shoten เป็นสาเกดั้งเดิมที่มีเอกลักษณ์เฉพาะของที่นี่ ซึ่งมีการผสมผสานจุคุเซชุหลากชนิด เช่น “3 ปีขึ้นไป” และ “5 ปีขึ้นไป”

ฉะนั้น ถึงจะปล่อยให้โคชุอายุ 3 ปีบ่มต่อไป ก็จะไม่กลายเป็นโคชุอายุ 10 ปี นอกจากเวลาที่ใช้ในการบ่มแล้ว ยังต้องพิจารณาถึงทักษะและแนวคิดการออกแบบของโทจิในโรงผลิตแต่ละแห่งด้วย

ในทัวร์นี้ ผู้เขียนได้ชิมโคชุ 3 ปี, 5 ปี และ 20 ปี โดยแต่ละชนิดจะผ่านการบ่มในระยะเวลาต่างกัน

“โคชุอายุ 3 ปี” กลิ่นหอมอ่อนๆ ที่ลอยฟุ้ง

เริ่มต้นด้วยการจิบสาเกอายุน้อยตามคำแนะนำของคุณชิรากิ ชิเกริ เมื่อยกแก้วขึ้นมาใกล้ใบหน้า กลิ่นหอมหวานอ่อนๆ ก็ลอยมาแตะจมูก

เมื่อลองจิบ รสชาติอันหอมหวนก็กระจายไปทั่วปาก แล้วรสหวานก็ค่อยๆ ตามมา

ด้วยรสชาติเบานุ่มละมุน ทำให้จับคู่กับอาหารได้ทุกประเภท ความนุ่มนวลที่ทำให้แม้แต่ผู้ดื่มโคชุเป็นครั้งแรกก็เพลิดเพลินได้ง่าย

สีใสคล้ายน้ำผึ้งให้มีความรู้สึกพิเศษ ดูเลอค่าเหมาะเป็นของขวัญของฝากเป็นยิ่ง

“โคชุอายุ 5 ปี” เข้มข้นและนุ่มละมุน

ต่อมา ผู้เขียนได้ลองชิม “โคชุอายุ 5 ปี” ซึ่งเป็นโคชุผสมที่บ่มนานกว่า 5 ปี โคชุสีเหลืองสดอมแดงเหมือนสีดอกยามาบูกิ (เหลืองทองเข้ม) นี้มีกลิ่นหอมอ่อนๆ ที่ชวนให้นึกถึงเครื่องเทศ เมื่อจิบ จะมีรสหวานอันล้ำลึกเหมือนช็อกโกแลตเข้มข้นกระจายไปทั่วปาก

รสชาตินุ่มละมุน ไม่ซับซอน จิบแล้วรู้สึกสดชื่น มีท้้งความเข้มข้นและความกลมกล่อมที่ลงตัวชวนทำให้นึกถึงโชโคชุ (เหล้าเส้าซิง เหล้าจีนที่ทำจากข้าว) มีรสสัมผัสนุ่มนวลที่หลงเหลืออยู่ในคอ

สาเกนี้เข้ากันได้ดีกับอาหารจีนและอาหารรสชาติเข้มข้นต่างๆ จึงเหมาะเป็นเครื่องดื่มที่ดื่มคู่กับอาหารด้วยเช่นกัน โคชุนี้เป็นสาเกรสชาตินุ่มละมุนชวนให้อยากดื่มซ้ำ

“โคชุอายุ 20 ปี” ล้ำลึก เข้มข้น และหวานละมุน

สาเกชนิดสุดท้ายที่ได้ลองดื่มคือ “จุคุเซโคชุอายุ 20 ปี” เป็นสาเกผสม 4 ชนิดที่บ่มนานกว่า 20 ปี สีเหลืองอำพันเข้มน่าประทับใจที่ได้จากการหมักนี้ บ่งบอกถึงความล้ำลึกของกาลเวลา

เมื่อจิบเพียงครั้งเดียวก็ต้องประหลาดใจกับความหวานละมุนที่ยากจะจินตนาการได้เมื่อมองจากรูปลักษณ์ที่ดูเข้ม คุณชิรากิ ชิเกริกล่าวว่า “นี่ไม่ใช่สาเกที่ผ่านการบ่มยาวนานเพื่อให้มีรสหวาน แต่เป็นสาเกที่ออกแบบให้เป็นสาเกรสหวานตั้งแต่แรก”

กลิ่นหอมที่ชวนให้นึกถึงน้ำตาลทรายแดง และแอลกอฮอล์ที่จางหายไปในปากช้าๆ นั้น ช่างน่าลิ้มลองจนอยากจิบอีกครั้ง แม้จะจับคู่กับอาหารที่มีไขมันสูง ก็ดื่มได้อย่างนุ่มนวล โดยทิ้งรสชาติที่เข้มข้นไว้ในคอ

ย้อนดูประวัติศาสตร์ของสาเกผ่านไทม์ไลน์ของจุคุเซโคชุที่น่าประทับใจนี้

ในร้านจำหน่ายสินค้าโดยตรงที่อยู่ติดโรงงาน มีจุคุเซโคชุ ชุดชิมสาเกเปรียบเทียบรสชาติ จุนไมชุ และอื่นๆ ให้เลือกซื้อกัน

แม้จะผ่านช่วงเวลาในการบ่ม แต่โคชุของ Shiraki Tsunesuke Shoten ทั้งหมดก็มีจำหน่ายในราคาที่เอื้อมถึงได้

นอกจากนี้ ยังมีขวดเล็กขนาด 50 มิลลิลิตร และ 180 มิลลิลิตรจำหน่ายด้วย ดังนั้นแม้แต่ผู้ที่เพิ่งลองโคชุเป็นครั้งแรกก็สามารถแวะชมสินค้าในร้านได้อย่างสบายใจ

นอกจากนี้ ไทม์ไลน์ของจุคุเซโคชุที่อยู่บนผนังจะแสดงให้เห็นถึงประวัติศาสตร์ที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวของ Shiraki Tsunesuke Shoten จุคุเซโคชุที่จัดเรียงอย่างประณีต โดยแต่ละขวดได้รับการหมักและบ่มอย่างพิถีพิถันมาตั้งแต่เริ่มต้นการค้นคว้าวิจัยจนถึงปัจจุบันนั้น ช่างเป็นภาพที่น่าประทับใจยิ่ง

แทนที่จะปล่อยให้จัดแสดงไว้ ลองมาลิ้มรสเครื่องพิสูจน์แห่งกาลเวลาที่ Shiraki Tsunesuke Shoten ได้ทุ่มเทแรงกายแรงใจสร้างสรรค์กัน

ร้านจำหน่ายสินค้าโดยตรงเปิดให้บริการทุกวัน ยกเว้นวันอาทิตย์ เวลา 9:30 - 16:30 น. สามารถแวะมาชมสินค้าที่ร้านได้โดยไม่ต้องจองล่วงหน้า ตรงทางเข้ามีตุ๊กตาดารุมะตัวใหญ่คอยต้อนรับผู้มาเยือนอย่างสงบและอบอุ่นอยู่

ใกล้ชิดกับดารุมะ มาซามุเนะ และวัฒนธรรมการหมักมากยิ่งขึ้น

โรงผลิตสาเกแห่งนี้เต็มไปด้วยการระดมสมองอันชาญฉลาดและความคิดสร้างสรรค์ที่ทำให้ผู้มาเยือนรู้สึกคุ้นเคยกับจุคุเซโคชุมากยิ่งขึ้น

สามารถสัมผัสกับประเพณีการทำจุคุเซโคชุจากหลากหลายมุมมอง ผ่านข้อมูลกิจกรรมและเรื่องราวของวงการบันเทิงในแต่ละปีที่เขียนติดไว้บนแท็งก์หมักสาเกก็ได้ รวมทั้งประวัติของคุณชิรากิ ชิเกริและคุณชิรากิ โยชิจิ รวมถึงเมนูแนะนำที่เข้ากับสาเกได้ดี ที่เขียนอยู่บนป้ายป๊อปอัพต่างๆ ทั่วร้านก็ได้เช่นกัน

สิ่งที่น่าประทับใจยิ่งคือการทัวร์ชมโรงผลิตสาเก จะทำให้เข้าใจถึงการทำงานหนัก การค้นคว้าวิจัย และกระบวนการหมักที่อยู่เบื้องหลังการผลิตจุคุเซโคชุรสเลิศอย่างดารุมะ มาซามุเนะได้ลึกซึ้งยิ่งขึ้น

อีกทั้งยังสามารถสัมผัสได้ว่า โลกแห่งจุคุเซโคชุของ Shiraki Tsunesuke Shoten สร้างสรรค์ขึ้นนั้น ประกอบด้วย ความปรารถนาอันแรงกล้าที่จะสร้างสรรค์โคชุ และพลังของการหมักที่เกิดจากจุลินทรีย์ที่ทำงานอย่างไม่หยุดยั้ง มารวมเข้าด้วยกัน

การเดินทางไป Shiraki Tsunesuke Shoten สามารถนั่งรถบัสจากสถานี JR กิฟุ (JR Gifu) ราว 50 นาที ลงที่ป้ายรถบัสโมจิ (Mochi) แล้วเดินไปตามทางระหว่างทุ่งนาราว 10 นาทีก็ถึง

ทิ้งความวุ่นวายใจกลางเมือง ไปเที่ยวที่กิฟุเพื่อเยี่ยมชมโรงผลิตสาเกในอ้อมกอดธรรมชาติ พร้อมดื่มด่ำกับสายลมแห่งกิฟุ ท่ามกลางทิวทัศน์ของทุ่งนากัน

เนื้อหาในบทความนี้อ้างอิงจากการเก็บข้อมูลในช่วงเวลาที่เขียนบทความ อาจมีการเปลี่ยนแปลงของรายละเอียดสินค้า บริการ ราคาในภายหลังได้ กรุณาตรวจสอบกับสถานที่นั้นอีกครั้งก่อนการไปใช้บริการ
นอกจากนี้ บทความอาจมีลิงก์โฆษณา โปรดพิจารณาอย่างรอบคอบก่อนตัดสินใจซื้อหรือจอง

หน้าเว็บไซต์นี้ใช้เครื่องมือแปลภาษาอัตโนมัติบางส่วน